"สินค้าจีนทะลัก" อาจสะเทือนเศรษฐกิจไทย หนักกว่า "ภาษีทรัมป์"

10 มิถุนายน 2568
"สินค้าจีนทะลัก" อาจสะเทือนเศรษฐกิจไทย หนักกว่า "ภาษีทรัมป์"
KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ระบุว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินทั่วโลกผ่อนคลายความกังวลในเรื่องสงครามการค้าได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เพราะหลังจากศาลการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีคำสั่งยับยั้งการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ในวันเดียวกัน และศาลได้ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวระหว่างพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล ทำให้ยังสามารถเก็บภาษีต่อได้จนกว่าจะมีคำตัดสินใหม่ออกมา
ในประเด็นนี้ สุดท้ายคงต้องไปจบกันที่ศาลสูงสหรัฐฯ ที่จะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่หลายฝ่ายก็เริ่มมีความหวังว่า มาตรการภาษีตอบโต้ของทรัมป์ อาจต้องเจออุปสรรคอีกหลายเรื่อง หรือในที่สุด อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย
"เหตุผลเบื้องหลังของการเก็บภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นอาการของปัญหาเบื้องหลังในเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขในที่สุด และการที่ศาลเข้ามายับยั้งในกรณีนี้ อาจะไม่เป็นผลดีต่อไทยอย่างที่หลายคนคิด" KKP ระบุ
  • "ขาดดุลการค้า" กระทบหนี้สาธารณะ และดอลลาร์สหรัฐฯ

KKP มองว่า ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง คือการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ที่เชื่อมโยงไปยังการขาดดุลการคลัง หรือที่เรียกว่า Twin deficits โดยปัญหานี้ ท้ายที่สุดยังอาจเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ

ในปัจจุบัน การขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีมูลค่าสูงถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ส่งผลให้หากสหรัฐฯ ไม่มีมาตรการลดการขาดดุลที่ชัดเจน สหรัฐฯ จะมีแนวโน้มที่ต้องก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจ่ายค่านำเข้าสินค้าจากการขาดดุลในระดับสูง

ทั้งนี้ ในกรณีนี้ปัญหาการขาดดุลการค้า จะกลายเป็นต้นเหตุที่นำไปสู่ปัญหาการขาดดุลทางการคลังตามมา หรือที่ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่าการขาดดุลแฝด (Twin Deficit) โดยในกรณีที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ โตใกล้เคียงกับปัจจุบัน ระดับการขาดดุลตอนนี้ จะทำให้ระดับหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากระดับ 122% ต่อ GDP ที่สูงอยู่แล้วในปัจจุบัน จะสูงขึ้นไปเป็น 156% ในปี 2578 และจะไม่สามารถปรับตัวลดลงได้ในระยะยาว

KKP มองว่า สถานการณ์ดังกล่าว จะเป็นประเด็นที่นักลงทุนมีความกังวลต่อความน่าเชื่อถือในการชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการด้อยค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในระยะยาวตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ จะต้องพยายามจัดการกับปัญหานี้ในระยะข้างหน้า โดยนโยบายที่รัฐบาลสหรัฐฯ สามารถทำได้เพื่อบรรเทาปัญหาการขาดดุลดังกล่าว คือ ภาษีนำเข้ายังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองข้อตกลงทางการค้า ดึงภาคการผลิตกลับประเทศ และเพิ่มการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐบาล

"สหรัฐฯ ต้องการลดการขาดดุลการค้า โดยการให้ประเทศคู่ค้าเปิดตลาดหรือซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้น และต้องการลดสัดส่วนหนี้สาธารณะ โดยการเพิ่มการเติบโตภายในประเทศ ผ่านการดึงการลงทุนในภาคการผลิต และลดกฎเกณฑ์ที่จำกัดการเติบโต" KKP ระบุ
  • เชื่อสหรัฐฯ ไม่เลิกเก็บภาษี ส่งผลให้การเจรจายากขึ้น

คำสั่งของศาลการค้า นอกจากไม่ได้เปลี่ยนภาพระยะยาวของนโยบายการค้าสหรัฐฯ แล้ว ยังอาจทำให้ประธานาธิบดีทรัมป์ พยายามเลี่ยงไปหาช่องทางอื่น ๆ ที่ทำได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลแฝดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น โดยมาตรการภาษีการค้า จะยังเป็นเครื่องมือสำคัญอยู่ แต่อาจทำให้การเจรจาของไทยมีความซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม

โดยตามกฎหมาย ประธานาธิบดียังมีอำนาจอื่นในการขึ้นภาษีนำเข้ากับประเทศคู่ค้าที่มีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้ ตัวอย่างเช่น มาตรา 122 กฎหมายการค้าปี 1974 (Trade Act of 1974) ให้อำนาจประธานาธิบดีในการขึ้นภาษี 15% เป็นระยะเวลา 150 วันได้ ในกรณีที่สหรัฐฯ เผชิญกับปัญหาดุลชำระเงิน และในระหว่างนั้น ประธานาธิบดีทรัมป์สามารถให้ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) เริ่มการสอบสวนการค้าที่ไม่เป็นธรรมของประเทศคู่ค้า เพื่อใช้มาตรา 301 ในการตั้งกำแพงภาษีในกลุ่มสินค้าสำคัญ (ภาษีนำเข้าที่ขึ้นกับจีนในหลายสินค้า อาศัยกฎหมายมาตรานี้) เป็นต้น

ดังนั้น หากสุดท้ายศาลสูงสหรัฐฯ มีคำสั่งไม่ให้ขึ้นภาษีนำเข้า แต่ทรัมป์จะยังสามารถขึ้นภาษีนำเข้าโดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจเก็บภาษีการค้าที่แท้จริง ตามรัฐธรรมนูญและพรรครีพับลิกัน ยังครองเสียงข้างมากในทั้ง 2 สภาอยู่ แม้อาจใช้เวลาก็ตาม ในกรณีนี้ การหวังให้ศาลสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงเพื่อหยุดภาษีนำเข้า จะทำได้ยากขึ้นในระยะยาว โดยทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

นอกจากนี้ KKP ประเมินว่า คำสั่งศาล อาจยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนในการเจรจาการค้ากับประเทศคู่ค้า รวมถึงไทยยาวนานขึ้น โดยการเจรจาที่ก่อนหน้านี้ ควรจะสามารถดำเนินการได้โดยใช้เวลาประมาณ 1 ปี หากการขึ้นภาษีนำเข้าและการเจรจาถูกบังคับให้ต้องเข้ากระบวนการรัฐสภา อาจทำให้ภาษีที่ถูกปรับขึ้นในระยะข้างหน้าต่อประเทศคู่ค้า จะปรับลดลงได้ยากขึ้น เพราะต้องผ่านสภาก่อน และการเจรจาอาจลากยาวกว่า 1 ปีได้

  • อีกด้านของความไม่สมดุล คือ จีน

ปัญหาหลักของการค้าโลกในปัจจุบัน ไม่ใช่ "สงครามการค้า" แบบในช่วง 1930 แต่เป็น "ความไม่สมดุลทางการค้า" ระหว่างประเทศผู้ซื้อกับประเทศผู้ขาย หรือเรียกอีกแบบหนึ่ง คือ ความไม่สมดุลระหว่าง "ประเทศที่บริโภคมากเกินไป" (over-consume) กับ "ประเทศที่บริโภคน้อยเกินไป" (under-consume)

ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต เพราะประเทศเศรษฐกิจหลักในอดีตส่วนใหญ่ มีการเกินดุลทางการค้า เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ทุกประเทศที่เป็นผู้ขาย จึงตั้งกำแพงภาษี และลดค่าเงิน เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดโลก ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสงครามระหว่างผู้ขายหลายราย

อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ปัจจุบัน สหรัฐฯ เป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของโลก สะท้อนจากการขาดดุลทางการค้าของสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในโลก แต่การที่ขาดดุลการค้าในระดับสูง พร้อมกับการก่อหนี้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีการบริโภคโดยรวมที่มากเกินไป ในทางตรงกันข้าม ประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะจีน มีการเกินดุลทางการค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเกิดจากอุปสงค์ในประเทศมีความอ่อนแอ ทำให้หากจีนต้องการขยายภาคการผลิตต่อเนื่องในอนาคต จำเป็นต้องอาศัยตลาดต่างประเทศเป็นแหล่งรับซื้อสินค้า ซึ่งสะท้อนว่าเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกมีการบริโภคที่น้อยเกินไป

ประเด็นนี้ เป็นประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ กำลังเน้นย้ำว่า ในระยะยาว ประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะจีน ควรปรับสมดุลทางเศรษฐกิจ โดยการเพิ่มอุปสงค์ในประเทศให้มากขึ้น เพื่อลดความไม่สมดุลของการค้าโลก โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน อย่างไรก็ตาม การที่จะร่วมมือกันไปถึงจุดนั้น ไม่ใช่เรื่องนี้ที่สามารถทำได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ อาจส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ต่างกันไปในแต่ละกลุ่ม ซึ่งทำให้อาจมีเสียงคัดค้านในการเปลี่ยนแปลงได้

  • "ภาษีทรัมป์" ไม่น่ากลัวเท่าส่งออกจีน

การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน คาดว่าจะเต็มไปด้วยอุปสรรคในระยะสั้น และอาจใช้เวลานานกว่าจะบรรลุข้อตกลงการค้าที่นำไปสู่การปรับสมดุลเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะมีหลายประเด็นที่เป็นประเด็นอ่อนไหว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าไม่เป็นธรรม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ เทคโนโลยี ค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น

ในระยะต่อไป จึงยังมีโอกาสสูงที่สหรัฐฯ จะใช้ภาษีนำเข้าเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง หรือปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศที่อ่อนไหวจากสินค้าจีน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างนั้น คาดว่าจีนจะกระจายตลาดการส่งออกออกจากสหรัฐฯ โดยส่งออกสินค้าไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากกำลังการผลิตส่วนเกินที่ยังมีอยู่ โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน รวมทั้งไทย ที่ดูเหมือนจะมีอำนาจการต่อรองในการขึ้นภาษีนำเข้าต่ำ
"หากผู้ผลิตจีนยังทยอยลดราคาสินค้า เพื่อส่งออกมายังตลาดไทย สิ่งที่ต้องกังวล คือความเสี่ยงต่อการแข่งขันทางด้านราคาต่อผู้ผลิตไทยจะยิ่งเร่งตัวขึ้นไปอีก และอาจส่งผลกระทบรุนแรงขึ้น โดยทำให้กิจกรรมในภาคการผลิต และการจ้างงานหดตัวแรง" KKP ระบุ
ดังนั้น แม้ว่าความเสี่ยงจากภาษีทรัมป์ต่อไทยจะลดลง จากความพยายามของภาครัฐในการเจรจาข้อตกลงการค้า แต่ประเด็นที่น่ากังวลสำหรับเศรษฐกิจไทยในระยะยาว คือ แรงกดดันทางด้านเงินฝืดต่อเศรษฐกิจไทยที่น่าจะยังเพิ่มสูงขึ้น หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงาน จากกำลังการผลิตส่วนเกินของจีนที่เข้ามาตีตลาดในไทย


แหล่งที่มา : RYT9

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.